เราจำเป็นต้องแยกโรคติดเชื้อ ออกเป็นโรคติดเชื้อในชุมชนและโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลเพราะการป้องกันควบคุมและแก้ไขเชื้อดื้อยาในชุมชนและในโรงพยาบาลนั้นมีวิธีที่แตกต่างกันมาก นอกจากนี้ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจในการจัดสรรทรัพยากรสำหรับการควบคุมแก้ไข และการตรวจสอบประสิทธิภาพของการลดการติดเชื้อดื้อยาทั้งในชุมชนและโรงพยาบาล
ยกตัวอย่างเช่นการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่ถูกต้องในชุมชนกำลังทำให้เกิดเชื้อดื้อยาในชุมชน การไม่ล้างมือ การมีปริมาณยาปฎิชีวนะสูงในน้ำเสีย และการจัดการน้ำเสียที่ไม่มีประสิทธิภาพ ก็ทำให้ผู้คนในชุมชนมีการสัมผัสกับยาที่มีอยู่ในสภาพแวดล้อมมากขึ้น ทำให้เกิดความเสี่ยงสูงในการเกิดเชื้อดื้อยา ในทำนองเดียวกันการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่ถูกต้องในโรงพยาบาลก็กำลังทำให้เกิดเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาล การที่บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยและญาติ ไม่ล้างมืออย่างถูกต้องก็ทำให้เกิดความเสี่ยงของการติดเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาลสูงขึ้น
ถ้าต้องการลดการติดเชื้อดื้อยาในชุมชน การกำกับดูแลการใช้ยาปฏิชีวนะและการควบคุมสุขอนามัยจะต้องมุ่งเน้นไปที่ชุมชนและประชากรทั่วไป ในทางตรงกันข้ามถ้าต้องการลดการติดเชื้อดื้อยาในโรงพยาบาลการกำกับดูแลยาปฏิชีวนะ และการควบคุมสุขอนามัยจะต้องมุ่งเน้นไปที่บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย ญาติและสิ่งแวดล้อมในโรงพยาบาล
ดังนั้นการรณรงค์ลดการติดเชื้อดื้อยาต้องทำทั้งในชุมชนและในโรงพยาบาล
แพทย์สามารถระบุว่าผู้ป่วยเป็นโรคติดเชื้อในชุมชนหรือโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลโดยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และส่งสิ่งส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการอย่างละเอียดเพื่อการตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม หลักการทั่วไปที่สามารถใช้ได้คือ ถ้าตรวจพบเชื้อก่อโรคจากสิ่งส่งตรวจ เช่นเลือดและปัสสาวะ ที่มาจากผู้ป่วยภายในระยะเวลา 2 วันแรกที่เข้ามานอนโรงพยาบาล การติดเชื้อเหล่านี้ควรจัดเป็นเป็นการติดเชื้อจากชุมชน[1]
เอกสารอ้างอิง
1 WHO. (2017). Global Antimicrobial Resistance Surveillance System (GLASS) Report Early implementation 2016-17. ISBN 978-92-4-151344-9